มีคนเข้าไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนา
พันธุ์ทิพย์ที่น่าสนใจ และควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน กระทู้นั้นชื่อ “ถ้าเราไม่มีตัวตน เมื่อละสังขาร
เราเอาอะไรไปเกิด?”
เนื้อหาของกระทู้ก็เป็นดังนี้
ก็ในเมื่อเราตายแล้วขันธ์ห้าก็ตายไปพร้อมกับเรา รูป เวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ก็สิ้น แต่ยังคงมีเชื้อให้เกิดใหม่อยู่ดี
ก็ไปสู่ร่างใหม่ก็คือขันธ์ห้าอันใหม่
เราเป็นเพียงผู้ไปอาศัยเมื่อถึงเวลาก็ต้องละสังขารนั้นไปแล้วก็ไปสู่ที่ใหม่อีก
ขันธ์ห้านี้เราจึงถือไม่ได้ว้าเป็นตัวเป็นตนของเราจริงๆ
แล้วตัวตนของเราจริงๆนั้นคืออะไรครับ หรือว่าตัวตนของเราจริงๆ แล้วมี
แต่ไม่มีรูปร่าง
ถ้าเราไม่มีตัวตน ไม่มีรูปที่แท้จริง
ในเมื่อตายแล้วเราจะเอาอะไรไปเกิดใหม่ จะว่าจิตก็ไม่ใช่เมื่อตายจิตก็ดับ
เกิดใหม่ก็เป็นจิตดวงใหม่
การย้ายจากขันธ์เดิมไปขันธ์ใหม่เราพกอะไรไปด้วย ก็มีแต่ กุศลกรรม
กับ อกุศลกรรม ที่ยังติดตัวเราไปตลอดตราบใดที่เรายังไม่เข้านิพพาน
สรุปที่อยากจะถามคือ
-เรามีตัวตนหรือไม่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าขันธ์ห้าไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน
ว่าเป็นของเรา แล้วตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเป็นอย่างไร
-เมื่อตายไปเราเอาอะไรไปเกิด ร่างกายเอย ขันธ์ห้าก็สลายไปตามธาตุ
จิตก็ดับไปกับร่างเก่า เกิดเป็นคนใหม่จิตดวงใหม่
-เมื่อมองกระจกก็เห็นรูป แต่ก็คิดเสมอว่าสักวันเราก็ต้องจากมันไป
ไปสู่ที่อาศัยใหม่อาจจะหน้าตาดีกว่าเดิม หรือรูปชั่วตัวดำกว่าเดิมก็ได้
แล้วรูปที่เราเห็นในกระจก
ภายในมีตัวตนของเราซ่อนอยู่ใช่หรือไม่
พูดกันเสมอว่า "เรา" เราคือตัวตนอย่างนั้นหรือ
ขอบคุณครับ
|
คำถามนี้
ตอบได้ง่ายมากในวิชาธรรมกาย และผมก็เขียนไปแล้วหลายครั้งหลายหน อย่างไรก็ดี
มาดูความคิดเห็นของพวกห้องศาสนาพันธุ์ทิพย์กันก่อน
คำถามแนวนี้
ถามมาตั้งแต่พุทธกาลแล้ว ทุกครั้งพระพุทธเจ้าจะถามไล่ตามนัยแห่งอนัตตลักขณสูตร
แนะนำให้อ่าน
อนัตตลักขณสูตร หลายๆครั้ง (อ่านที่สูตรเต็มๆ
ไม่ใช่อ่านหนังสือธรรมะที่คนอธิบาย)
สิ่งที่ขับเคลื่อนคำถาม
ที่ว่า "ถ้าเราไม่มีตัวตน เมื่อละสังขาร เราเอาอะไรไปเกิด?" ก็คือสังขาร
สังขารเหมือนเดิมตลอด
(เที่ยง) หรือไม่เหมือนเดิมตลอด (ไม่เที่ยง)? สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นแตกสลาย หรือคงอยู่?
สิ่งใดไม่เที่ยง
แตกสลาย แปรเปลี่ยน ควรหรือไม่ ที่จะเห็นว่า นั่นของเรา?
|
คำตอบนี้
ดูท่าทางจะดี แต่เมื่อพิจารณากันอย่างจริงๆ จังๆ แล้ว คนตอบกระทู้ไม่ได้มีความรู้ที่แน่นหนาอะไรเลย ตอบแล้วก็เหมือนไม่ได้ตอบ
คำตอบดังกล่าวเป็นความคิดเห็นที่ 2 คนตอบรีบเข้ามาตอบทันทีเมื่อเห็นกระทู้ นับได้ว่า
เป็นพวกสำเร็จความใคร่ทางคีย์บอร์ดอีกคนหนึ่ง
มาดูความคิดเห็นที่ 3 กันบ้าง
ในคำของพระอริยะสงฆ์
หลายๆ องค์ ท่านจะกล่าวว่า จิตนี้ไม่เคยตาย
เมื่อเราละจากร่างนี้ไปแล้วจิตดวงเดิมก็จะไปเกาะที่อยู่ใหม่ แต่เป็นจิตดวงเดิม
ขึ้นอยู่กับว่า
ก่อนที่จะดับจิตลงไปนั้น จิตของเราไปเกาะ กิเลสตัวไหนอยู่ ตัวโทสะ โมหะ หรือ
โลภะ ก็จะไปตามนั้น
ถ้าไปเกาะตัว
โมหะ ( โมโห ) ก็จะไปเป็นสัตว์นรก ( คำสอน หลวงพ่อโชดก เจ้าคณะ ๕ วัดมหาธาตุ )
จิตก็ยังเป็นดวงเดิม
ในช่วงแรกๆ
ยังจำได้หมด แต่เมื่อล่วงเวลาไปหลายๆกัป ก็จะลืม จนจำไม่ได้เลยคับ
ตอบคำถามคับ
-
ตัวตนของเรานั้นไม่มี ไม่ว่าจะ ขันธ์ ๕ หรือ ดวงจิตดวงใจ เพราะ
หาความแน่นอนไม่ได้เลย ร่วงโรยไปตามกาลเวลา กายเนื้อก็ไม่จีรัง เรือนจิตใจ
ก็ไม่เที่ยง เพราะวิ่งไปเกาะร่างนั้น ร่างนี้ อยุตลอด
-
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า เรามี
กรรมนำมาเกิด เรามีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เรามีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย
เรากระทำกรรมอันใดไว้ดีหรือชั่วก็ตาม
จักได้รับผลของกรรมนั้นทั้งหมดทั้งสิ้น
สำหรับพระ อรหันต์นั้นไม่เรียกว่า กรรมแต่จะเรียกว่าการกระทำ
จึงไม่นำมาเกิดอีก
-
ร่างที่เราเกาะอยู่นั้นจัดว่าเปนภพสุขคติภูมิ เพราะได้ชื่อว่าคน หรือ มนุษย์
สิ่งที่เปนตัวตนนั้นคือเรือนจิตเรือนใจ ที่ ไม่ว่าจะย้ายจากร่างไหน
ก็จะติดตามเราไปทุกๆร่างครับ
คำตอบอาจไม่ถูกต้อง
๑๐๐ เปอร์เซ็น แต่ไม่น่าแตกต่างออกไปจากนี้เท่าใดนัก กราบขออโหสิกรรมมา ณ
ที่นี้ด้วย จาก ผู้ใฝ่ในธรรมะพุทธองค์
|
คำตอบนี้
ก็มั่วออกทะเลไปอีก
ยิ่งไปเอาคำตอบของมหาโชดก ซึ่งปัจจุบันเป็น “สัตว์นรก”
อยู่ ยิ่งหาความน่าเชื่อถืออะไรไม่ได้เข้าไปอีก
ต่อไปความคิดเห็นที่ 4
ขันธ์ 5 เมื่อเช้า กับขันธ์ 5 เมื่อ ตอนเย็น
ก็ขันธ์ใหม่แล้ว คนละขันธ์กัน กับเมื่อเช้า ไม่ต้องรอพิสูจน์ หลังตายแล้ว
ถ้าเข้าใจ ก็หยุดสงสัย ว่า ตายแล้วอะไรไปเกิด
เพราะขณะมีชีวิต ยังมีการเกิดดับแห่งขันธ์
อยู่ตลอดเวลา ร่างกายของคนเรา มีลักษณะปรุพรุน มีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่ทุกอนู
แค่รูป หลายๆ รูป มาประชุมกันชั่วคราว
แล้วทะยอย ดับไป อย่างรวดเร็ว
|
ผมสงสัยว่า
คนตอบมันจะเข้าใจในสิ่งที่มันเขียนหรือเปล่า
ขันธ์ 5 เกิดดับๆๆๆๆ อยู่ทุกขณะจริง แต่มันไม่ได้ตอบปัญหาของกระทู้
ต่อไปความคิดเห็นที่ 7 ตอบเป็นข้อๆ ไปดังนี้
-เรามีตัวตนหรือไม่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า ขันธ์ห้าไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน
ว่าเป็นของเรา แล้วตัวตนที่แท้จริงของเรานั้น เป็นอย่างไร
|
ตอบ คนที่ยึดถือว่า จิตมีตัวตนนี่ร้ายกว่า คนที่ยึดถือว่าร่างกายนี้มีตัวตน
อย่าหาตัวตนที่แท้จริงเลยครับ
|
คำตอบนี้ฉิบหายวายป่วงเลย ถ้าไม่จักตัวตนของเรา มันก็ฉิบหาวายป่วงแน่ๆ
-เมื่อตายไปเราเอาอะไรไปเกิด ร่างกายเอย ขันธ์ห้าก็สลายไปตามธาตุ
จิตก็ดับไปกับร่างเก่า เกิดเป็นคนใหม่จิตดวงใหม่
|
ตอบ หากไม่มีเชื้อ ไม่มีเหตุปัจจัย จะมีไฟขึ้นมาได้อย่างไร
ไฟดวงใหม่ก็เกิดจากเหตุปัจจัยนั่นเอง ดับอัตตาในชาตินี้ให้ได้
แล้วจะหมดคำถามเรื่องชาติหน้า
|
คำตอบนี้ก็เหมือนกัน คนตอบมันอยากพิมพ์เพื่อดับความกระสันของตัวเองเท่านั้น
ไม่ได้ตอบปัญหาใดๆ
-เมื่อมองกระจกก็เห็นรูป แต่ก็คิดเสมอว่าสักวันเราก็ต้องจากมันไป
ไปสู่ที่อาศัยใหม่อาจจะหน้าตาดีกว่าเดิม หรือรูปชั่วตัวดำกว่าเดิมก็ได้
แล้วรูปที่เราเห็นในกระจก
ภายในมีตัวตนของเราซ่อนอยู่ใช่หรือไม่
พูดกันเสมอว่า "เรา" เราคือตัวตนอย่างนั้นหรือ
|
ตอบ ที่พูดว่าเป็นเรานั้นเป็นสิ่งสมมุติ
|
คำตอบนี้
ก็เป็นคำตอบที่ตอบคำถามให้ครบเท่านั้น
ไม่ได้เป็นคำตอบที่ถูกต้อง
มาดูความคิดเห็นที่ 8 บ้าง ตอบเป็นข้อๆ เช่นเดียวกัน
สรุปที่อยากจะถามคือ
-เรามีตัวตนหรือไม่
เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าขันธ์ห้าไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน ว่าเป็นของเรา
แล้วตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเป็นอย่างไร
|
(ตอบ.ตัวตนที่แท้จริงของเราไม่มี
มีแต่ตัวตนชั่วคราวที่ขันธ์ ๕ ปรุงแต่งขึ้นมาเท่านั้น)
|
นี่ก็เป็นคำตอบที่ฉิบหายวายป่วงเหมือนกัน พุทธพจน์ที่ว่า “ขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตนของเรา”
นั้น แสดงว่า ตัวตนของเราต้องมี
แต่จะเป็นอะไรเท่านั้น
-เมื่อตายไปเราเอาอะไรไปเกิด ร่างกายเอย ขันธ์ห้าก็สลายไปตามธาตุ
จิตก็ดับไปกับร่างเก่า เกิดเป็นคนใหม่จิตดวงใหม่
|
(ตอบ.เมื่อมันไม่มีตัวตนที่แท้จริง
แล้วมันจะมีอะไรมาเกิดหรือไปเกิดได้อีกเล่า)
|
อ้าวฉิบหายอีกแล้ว คำตอบอย่างนี้ แสดงว่า
ไม่เชื่อเรื่องกายเวียนว่ายตายเกิด แต่เชื่อว่า
ตายแล้วเกิดเพียงชาติเดียวแบบวิทยาศาสตร์
-เมื่อมองกระจกก็เห็นรูป แต่ก็คิดเสมอว่าสักวันเราก็ต้องจากมันไป
ไปสู่ที่อาศัยใหม่อาจจะหน้าตาดีกว่าเดิม หรือรูปชั่วตัวดำกว่าเดิมก็ได้
แล้วรูปที่เราเห็นในกระจก
ภายในมีตัวตนของเราซ่อนอยู่ใช่หรือไม่
พูดกันเสมอว่า "เรา" เราคือตัวตนอย่างนั้นหรือ
|
(ตอบ.
เราเป็นแค่ความรู้สึกที่ร่างกายกับจิตใจมันร่วมกันปรุงแต่งขึ้นมาชั่วคราวเท่านั้น
เหมือนหุ่นยนต์คอมพิวเตอร์ชั้นเยี่ยมที่มันรู้สึกว่ามีตัวตนเป็นของมันเอง)
|
นี่ก็ออกทะเลไปอีก
มีความคิดเห็นที่เข้าท่าเข้าทางเหมือนกัน
ในความคิดเห็นที่ 14 ดังนี้
ขันธ์ 5 ประกอบด้วย
กาย คือ รูป
จิต คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
เหตุที่จะนำไปเกิดอีก คือความยึดมั่นในขันธ์ 5
พระพุทธเจ้าสอนให้ละความยึดมั่นในกายและจิตเพื่อเข้าสู่นิพพาน
ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนการปฏิบัติตามควรแก่แต่ละบุคคล
ปุถุชนเมื่อตาย
กายหยาบจะเปลี่ยนเป็นกายละเอียด จิตยังอยู่ (เกิดดับต่อเนื่อง) หลังจากนั้นกรรมจะพาไปเกิดยังภพภูมิใหม่ต่อไป
คำสอนที่ว่า กายและจิตนี้ เป็นอนัตตา
คือไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นคำสอนของศาสดา ที่เที่ยงแท้ ให้นำไปพิจารณาให้มาก
จิตจะค่อยๆ เห็นความจริงชัดขึ้นเป็นลำดับ
เมื่อชัด 100%
คือเข้านิพพาน กิเลสตัณหาจะสูญสิ้น และมีญาณรู้ได้ด้วนตนเอง
|
ความคิดเห็นนี้
เข้าท่าแล้ว แต่ก็ยังไม่ถูก
ต่อไปนี้
เป็นคำตอบในทางวิชาธรรมกาย
สรุปที่อยากจะถามคือ
-เรามีตัวตนหรือไม่ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่าขันธ์ห้าไม่ควรยึดถือว่าเป็นตัวตน
ว่าเป็นของเรา แล้วตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเป็นอย่างไร
|
ข้อความที่ผู้ตั้งกระทู้กล่าวถึงนั้น
มีอยู่ในอนัตตลักขณสูตร ดังนี้
ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
[๒๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล
รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต
และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่สักว่ารูป
เ
เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ...................
สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง...................
สังขารทั้งหลายอย่างใดอย่างหนึ่ง
...................
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง...................
|
ข้อความที่ว่า
“เธอทั้งหลายพึงเห็น [รูป-เวทนา-สัญญา-สังขาร-วิญญาณ] นั้น ด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา
นั่นไม่ใช่ตนของเรา.” แสดงให้เห็นว่า “ตัวตนของเราต้องมี
แต่ไม่ใช่ขันธ์ 5”
ตรงนี้แหละ
ที่นักปฏิบัติธรรม หรือนักปริยัติจะงงกันเป็นไก่ตาแตก เพราะ พวกเหล่านั้นเห็นว่า ขันธ์ 5
เป็นพื้นฐานที่สุดของร่างกายแล้ว
เมื่อขันธ์ 5 ไม่ใช่ตัวตนของเราเสียแล้ว
พวกนี้ก็ไปไม่เป็น
ตัวตนของเราในวิชาธรรมกายคือ
[เห็น จำ คิด รู้] กายของเรามี
18 กาย แต่ละกายก็มีเห็น จำ คิด รู้ ทั้งสิ้น
[เห็น จำ คิด รู้] ไม่ใช่ขันธ์
5 [เห็น จำ คิด รู้] เปรียบเสมือนน้ำในขัน ส่วนขันธ์
5 ก็คือ ขันน้ำ
[เห็น จำ คิด รู้] คือตัวตนของเรา
แต่ยังตกอยู่ในพระไตรลักษณ์ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ยังต้องมีการเปลี่ยนแปลงอยู่
[เห็น จำ คิด รู้] ในส่วนละเอียดที่สุด
มีลักษณะเป็นดวงใส ซ้อนกันอยู่ อยู่ ณ ที่ฐานที่ 7 ของกายมนุษย์
-เมื่อตายไปเราเอาอะไรไปเกิด ร่างกายเอย ขันธ์ห้าก็สลายไปตามธาตุ
จิตก็ดับไปกับร่างเก่า เกิดเป็นคนใหม่จิตดวงใหม่
|
เมื่อกายมนุษย์ตาย
ขันธ์ 5 ก็ลายไป แต่ [เห็น จำ คิด รู้]
ยังอยู่ [เห็น จำ คิด รู้] ของกายมนุษย์ก็จะถ่ายไปอยู่กับของกายมนุษย์ละเอียด
บุญ
กรรม ความดี ความชั่วก็ไปกับ [เห็น จำ คิด รู้]
-เมื่อมองกระจกก็เห็นรูป แต่ก็คิดเสมอว่าสักวันเราก็ต้องจากมันไป
ไปสู่ที่อาศัยใหม่อาจจะหน้าตาดีกว่าเดิม หรือรูปชั่วตัวดำกว่าเดิมก็ได้
แล้วรูปที่เราเห็นในกระจก
ภายในมีตัวตนของเราซ่อนอยู่ใช่หรือไม่
พูดกันเสมอว่า "เรา" เราคือตัวตนอย่างนั้นหรือ
ขอบคุณครับ
|
ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว [เห็น จำ
คิด รู้] เปรียบเสมือนน้ำในขัน ส่วนขันธ์ 5 ก็คือ ขันน้ำ ไม่ได้ซ่อนอยู่
แต่คนที่ไม่มีวิชาธรรมกาย ไม่เห็น จึงอาจจะคิดว่า “ซ่อนอยู่” ในธรรมชาติจะเป็นอย่างนั้น
สำหรับคำว่า
“เรา” ของเจ้าของกระทู้นั้น ไม่รู้ว่า หมายถึงอะไร แต่ถ้าหมายถึงคำว่า “เรา”
ในอนัตตลักขณสูตร ก็เป็นคำสรรพนาม ที่พระพุทธเจ้าหมายถึง
พระปัจจวัคคีย์รวมถึงพระองค์ด้วย.
-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น