บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สวดโพชฌังคปริตรแล้วยิ่งป่วย

มีคนเข้าไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ที่น่าสนใจ และควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน กระทู้นั้นชื่อ “ทำไมเราสวดโพชังคปริตรแล้วยิ่งป่วยเราไม่ได้คิดมากไปน่ะคะเราลองสังเกตมา  3  เดือนแล้ว

เนื้อหาของกระทู้ก็เป็นดังนี้

เราเริ่มสวดมาตั้งแต่ พย.  ค่ะ ก็สวดทุกคืนไม่ขาดเลย แต่สังเกตว่ายิ่งสวด เราจะเหมือนมีโรคเพิ่มขึ้นวันละโรคสองโรค เช่นปวดหัว ปวดตามั่ง ไมเกรนมั่ง บางทีปวดฟัน ต้องไปหาหมอฟัน

ปวดตามเนื้อตัว ปวดขาซ้ายตึงมากมาถึงบั้นเอว คือโรคจะสลับๆกันไป ที่หน้าก็มีเหมือนพวกสิว ผด สิวอักเสบปะทุหนัก จากที่ไม่ค่อยมี หรือมีไม่เยอะ

ทุกๆ วัน เราจะเพลียมาก เราแอบสงสัยเพราะว่า สวดบทนี้แล้วเร่งกรรมให้ป่วยหรือเปลา ให้รีบชดใช้อะไรทำนองนั้น 

ทีนี้หลังจากสวดครบทุกคืนมา  3  เดือน เราสังเกตอาการป่วย เจ็บออดๆ แอดๆ มาตลอดเวลา มีปัญหาหมอมีโรคอะไรที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน  ก็กลับมาใหม่ บางทีเจ็บปวดหน้าอกขึ้นมา 

หลังจากนั้นเราก็ลองหยุดสวด โดยสวดแค่บทอื่นๆ พาหุงมหากา บทอื่นๆ แทน เรากลับรู้สึกว่า อาการต่างๆ ทุเลา

หน้าเราค่อยๆ กลับมาดี พวกสิวอะไรที่อักเสบก็ค่อยๆ หาย จากที่เคยเห่อเต็มหน้าหลังจากสวด อาการทางกาย อาการปวดต่างๆ เริ่มดีขึ้น

เราคิดมากไปเองหรือเปล่าว่า มันเป็นการเร่งกรรม ให้เราชดใช้ให้หมดๆ ไวๆ หรือเราคิดไปเองคะ รบกวนขอความเห็นหน่อยค่ะ  คือบางคนอาจถูกจริตกับบทนี้ บางคนไม่ถูกกับอีกบทนึงหรือเปล่าคะ

ก็มีความคิดเห็นของคนในห้องศาสนาพันธุ์ทิพย์ ซึ่งหาสาระอันใดไม่ได้ เหมือนเดิม  เลยไม่เอามาวิพากษ์วิจารณ์ 

ผมไปลองค้นหาดูว่า โพชฌังคปริตรมีความเป็นมาอย่างไร ก็ค้นได้มา ดังนี้

โพชฌงค์เป็นหลักธรรมหมวดหนึ่งที่อยู่ในบทสวดมนโพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบทนี้แล้ว สามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้

ที่เชื่ออย่างนี้ เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎกเล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ

พระองค์ทรงแสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ พบว่าพระมหากัสสปะสามารถหายจากโรคได้

อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น พบว่า พระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้

ในที่สุด เมื่อพระพุทธองค์เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทะเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็หายประชวร

สำหรับบทสวดโพชฌังคปริตรพร้อมด้วยคำแปลก็เป็น ดังนี้

โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา
โพชฌงค์  7  ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธรรมวิจยะสัมโพชฌงค์
วิริยัมปีติ ปัสสัทธิ โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร
วิริยะสัมโพชฌงค์ ปีติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์
สะมาธุเปกขะโพชฌังคา
สมาธิสัมโพชฌงค์ และอุเบกขาสัมโพชฌงค์
สัตเตเต สัพพะทัสสินา มุนินา สัมมะทักขาตา
7  ประการเหล่านี้ เป็นธรรมอันพระมุนีเจ้า ผู้ทรงเห็นธรรมทั้งปวงตรัสไว้ชอบแล้ว
ภาวิตา พะหุลีกะตา
อันบุคคลเจริญแล้วกระทำให้มากแล้ว
สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา
ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
เอกัสมิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง คิลาเน ทุกขิเต ทิสวา
ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า ทอดพระเนตรเห็นพระโมคคัลลานะ และพระมหากัสสปะเป็นไข้ ได้รับความลำบาก
โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ
จึงทรงแสดงโพชฌงค์  7  ประการ ให้ท่านทั้งสองฟัง
เต จะ ตัง อะภินันทิตวา
ท่านทั้งสองนั้น ชื่นชมยินดียิ่ง ซึ่งโพชฌงคธรรม
โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ
โรคก็หายได้ในบัดดล
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต
ในครั้งหนึ่ง องค์พระธรรมราชาเอง (พระพุทธเจ้า) ทรงประชวรเป็นไข้หนัก
จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปตวานะ สาทะรัง
รับสั่งให้พระจุนทะเถระ กล่าวโพชฌงค์นั้นนั่นแลถวายโดยเคารพ
สัมโมทิตวา จะ อาพาธา ตัมหา วุฏฐาสิ ฐานะโส
ก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากพระประชวรนั้นได้โดยพลัน
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ
ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง
ก็อาพาธทั้งหลายนั้น ของพระผู้ทรงคุณอันยิ่งใหญ่ทั้ง  3  องค์นั้น หายแล้วไม่กลับเป็นอีก
มัคคาหะตะกิเลสาวะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง
ดุจดังกิเลส ถูกอริยมรรคกำจัดเสียแล้ว ถึงซึ่งความไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ
ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้
โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา
ขอความสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ท่าน ตลอดกาลทุกเมื่อ เทอญ

ขอตั้งข้อสังเกตก่อนดังนี้

จากเนื้อหาพระไตรปิฎก ผู้สวดไม่ใช่ผู้ป่วย  เป็นผู้รักษา 
ผู้รักษานั้น บารมีสูงมากคือ พระพุทธเจ้ากับพระจุนทะ

ดังนั้น โพชฌังคปริตรไม่ใช่ว่าผู้ป่วยจะสวดเอง แล้วโรคก็หายเอง

ต่อไปเป็นการตอบปัญหาของเจ้าของกระทู้ด้วยวิชาธรรมกาย

ในทางวิชาธรรมกายนั้น  คนทุกคนจะมีดวงเกิด ดวงแก่ ดวงเจ็บ ดวงตายอยู่ในตัวทุกคน ใครเจ็บป่วยก็แสดงว่า ดวงเจ็บส่งผล 

เมื่อคนที่เก่งธรรมกายต้องการจะรักษาผู้ป่วย  เราก็ไปทำให้ดวงเจ็บไม่ส่งผล  ผู้ป่วยก็จะหาย

นี่ว่าด้วยหลักการทั่วไป วิธีปฏิบัติมีอยู่ แต่ยังจะไม่อธิบายในตอนนี้

ดังนั้น ในทางวิชาธรรมกายนั้น  สามารถรักษาโรคได้ดีกว่าการสวดโพชฌังคปริตร  และสามารถปฏิบัติธรรมเพื่อรักษาตัวเองได้ ได้ผลดีกว่าการสวดโพชฌังคปริตร

ต้องขออธิบายว่า ไม่ใช่ว่าการโพชฌังคปริตรไม่ดี  แต่เราบารมีไม่ถึงขนาดนั้น คือ ถึงขนาดที่ว่า สวดมนต์แล้วทำให้โรคหายได้

สำหรับอาการที่เจ้าของกระทู้เล่ามา  ผมว่า “เกิดจากมารมาผสมโรงด้วย”  ไม่รู้ว่า ไปทำอะไรไว้กับมารบางตัวหรือเปล่า

มึงสวด กูส่งโรคให้  มึงสวด กูส่งโรคให้...ทำนองนั้น  มึงเลิกสวด กูก็หยุดส่งโรค

ในเมื่อบารมีของเจ้าของกระทู้ไม่มากนัก  มารมันก็ทำอะไรก็ได้  เจ้าของกระทู้ต้องไปหาแหล่งที่ให้บารมีได้มากกว่านี้ หรือแหล่งที่ปราบมารได้ผล

ดังนั้น ขอแนะนำว่า ให้เจ้าของกระทู้ไปเรียนวิชาธรรมกาย  รับรองว่าหายจากโรคแน่นอน ขอให้ไปเรียนที่ถูกแหล่งแห่งที่หน่อยก็แล้วกัน



-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989

10 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ27 ธันวาคม 2557 เวลา 20:11

    อย่างมงายครับเวลาเจ็บปวดแทบล้มประดาตายทำไมไม่เอาหลักอริยมรรค8มาใช้คุณเจริญสติก็ได้สมาธิไปเองมันเจ็บตรงไหนปวดตรงไหนคุณก็เจริญสติกำกับไปคุณเห็นว่ามันไม่เที่ยงเมื่อรัยคุณก็ได้ปัญญาอันสูงสุดจิตคุณจะไม่ป่วยแต่จะมีแต่ร่างกายที่ป่วยทำไมต้องมองบุญเป็นรูปธรรมบุญเขามาแล้วแต่เราไม่รู้จักเชื่อเขาเองคือปัญญางัยเป็นบุญอันสูงสุดโดยไม่ต้องไปเข้าคอดภาวนา ที่ไหนก็ได้แค่ทำอะไรก็ให้รู้ทุกกิจที่ทำทุกคำที่พูดทุดครั้งที่เคลื่อนไหวเติมตัวรู้เข้าไปโดยที่ไม่ต้องวางมาจวางฟรอม์คุณก็ได้ปฎิบัติธรรมขั้นสูงสุดในทางพุทธศาสนาบุญที่คุณตามหาก็คือปัญญาที่เรามองไม่เห็นปฎิบัติตามอริยมรรค8ให้สำเร็จเมื่อรัยคุณก็จะอยู่เหนือกรรมได้เมื่อนั้นไม่ต้องสำเร็จถึงอรหันต์ก็ได้แค่คุณมีสัมมาทิฎิคือเห็นผิดเป็นชอบคุณภาพชีวิตของคุณก็เปลี่ยนการกระทำก็เปลี่ยนผลกรรมก็เปลี่ยนได้ในชาตินี้ปัจจุบันนี้โดยไม่ต้องรอเกิดชาติหน้าแล้วเป็นคนใหม่เปลี่ยนได้ในชาตินี้เดี๋ยวนี้

    ตอบลบ
  2. เราเชื่อนะ
    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  3. บทสวดโพชฌังคปริตร คำแปลและคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนานั้นถูกต้องแล้ว " แต่บทสวดมนต์นี้เป็นบทสวดมนต์ที่ต้องให้คนอื่นสวดให้เรา" ตามที่พระพุทธเจ้าขณะทรงประชวนให้พระจุนทะเถระกล่าวบทนี้ ค่ะ ปัจจุบันใช้เปิดyoutobeฟังแทน ถ้าจะสวดเราก็สวดให้ บิดา มารดา ครู หรือคนที่ป่วย ค่ะ

    ตอบลบ
  4. จริงเหมือนดังคุณเจนนี่กล่าวมาครับ

    ตอบลบ
  5. การสวดมนต์ ทำให้เกิด ภาวนาบารมีและภาวนามยปัญญา แต่เหนือไปกว่านั้น หลักธรรมทั้งปวงอันองค์พระสัมมาฯได้สอนไว้ จะสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยการปฏิบัติ
    เช่น
    โพชฌงค์ 7 หลักธรรมเพื่อพ้นจากทุกข์ของโรค

    1.สติ คือ อย่าตื่นตระหนกเมื่อป่วย
    2.ธรรมวินัย คือ สืบค้นที่มาของโรคว่าเกิดจากอะไร
    3.วิริยะ คือ เพียรหาวิธีรักษาโรค
    4.ปิติ คือ มีความยินดี มีความแจ่มใส ทำจิตใจให้สดชื่นอยู่เสมอแม้ยามป่วย
    5.ปัสสัทธิ คือ ความสงบจากกิเลส เนื่องจากผู้ป่วยมักมีความไม่สบายกายไม่สบายใจจากภาวะทรมานทางการจากโรค จึงต้องพยายามทำจิตให้สงบไม่ร้อนร้นตามกิเลสที่เกิดจากความทรมานดังกล่าว
    6.สมาธิ คือ มีจิตแน่วแน่ในการรักษา ไม่หวั่นใหวหรือล้มเลิก
    7.อุเบกขา คือ วางเฉย ไม่วิตกล่วงหน้าว่าโรคจะร้ายแรงขึ้น ไม่รำพึงในอดีตว่าโรคเก่าจะกลับมา ไม่ร้อนรนในปัจจุบันว่าโรคจะไม่หายไป และทำใจรับได้กับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าดีหรือร้าย หากรักษาหายได้ก็ไม่ยินดีจนประมาท หากรักษาไม่หายก็ไม่ทุกข์โศรกจนทรุดหนักกว่าเดิม

    แม้ปฏิบัติได้ดังหลักดังกล่าว จิตของผู้ป่วยก็ไม้โศรก การรักษาการได้ผลดี สุดท้ายโรคภัยก็หายจาก

    ตอบลบ
  6. การสวดมนต์ เป็นการเจริญจิตตภาวนา ไปด้วย เมื่อจิตสงบ ก็มีส่วนช่วยให้โรคทางกายหายเร็วขึ้น ถ้าจิตเราป่วย อารมณ์บูด ร้อนจิตร้อนใจอยู่แล้ว โรคกายที่มีอยู่ก็จะกำเริบหนักไปอีก ครับ

    ตอบลบ
  7. ไอ้นี่เก่งกว่า พระพุทธเจ้า

    ตอบลบ