บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

ทำไมถึงอยากได้บุญ


มีคนเข้าไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ที่น่าสนใจ และควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน กระทู้นั้นชื่อ “ทำไมถึงอยากได้บุญ

เนื้อหาของกระทู้ก็เป็นดังนี้

ทั้งๆ ที่บุญก็เป็นเพียงนามธรรมจับต้องไม่ได้ และความอยากได้นี่เองที่ทำให้เกิดคำว่า ได้บุญมาก ได้บุญน้อย โดนพระหลอกก็เยอะ

ส่วนตัวผมถ้าจะให้ก็ให้ไปเลยไม่ได้คิดอยากได้บุญตอบแทน ให้แล้วก็จบไม่หวังตอบแทนเพียงแต่เราไม่เดือดร้อนพอ

กระทู้นี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันข้อเขียนของผมที่เขียนไปแล้วหลายครั้งว่า “พวกที่เล่นห้องศาสนาพันธุ์ทิพย์นั้น ส่วนใหญ่สมองหมา ปัญญาควายทั้งสิ้น”  กลุ่มนี้หมายถึงพวกที่เล่นมานานแล้ว ไม่ไปไหน ไม่ก้าวหน้าขึ้น

อีกพวกหนึ่งก็คือ “หน้าใหม่”  ไม่รู้อะไรมากนัก ก็เข้ามาถาม ดังนั้น จะหาสาระอะไรในห้องศาสนาพันธุ์ทิพย์มากนักไม่ได้ 

อยากได้ความรู้จริงๆ ต้องไปหาจากแหล่งอื่นๆ เช่น เว็บของสำนักปฏิบัติธรรมต่างๆ เป็นต้น

มาดูความคิดเห็นที่ 1 กันก่อน

เอ่อ ...ศาสนาพุทธไม่ได้สอนให้อยากได้นะครับ สอนให้ละครับ บุญมันเป็นผลพลอยได้จากการละ หรือการสละเฉยๆ ครับ

การทำบุญ (ทำทาน) คนเลวก็ทำได้ การละบาป คนดีเท่านั้นที่ทำได้

จขกท คงเข้าใจผิด ว่าบุญนั้น ทำได้จากการทำทานด้วยทรัพย์ด้วยสิ่งของอย่างเดียว จริงๆ ไม่ทำทานด้วยทรัพย์ เลยแต่ให้อภัย ให้ความรู้ ก็ถือเป็นทานนะครับ

การรักษาศีล ยิ่งได้บุญมากกว่าทาน  การเจริญภาวนา ยิ่งได้บุญมากกว่าการรักษาศีล

การทำให้ตนรู้เห็นตามความเป็นจริง ยิ่งได้บุญมากกว่าสิ่งใดทั้งหมด

ความคิดเห็นนี้ เหมือนจะถูกแต่ก็ไม่ถูก  แล้วก็ไปตีความมากกว่าที่เขาถามมา แถมยังไป “เดา” ด้วยว่า คนถามเข้าใจผิด 

จริงๆ คนตอบคนแรกนั่นแหละ เข้าใจผิดไปกันยกใหญ่  นี่ก็เป็นลักษณะนิสัยของพวกห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์

ก่อนจะไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นกันต่อ  ต้องขออธิบาย “ธรรมชาติสำคัญ” ของมนุษย์กันก่อน เพราะ เกี่ยวพันกับเรื่องนี้

ธรรมชาติสำคัญ” นั้นก็คือ  คนเราทุกคนนั้น จะต้องไปอายตนะนิพพานกันทุกคน ไม่เว้นเลยแม้แต่คนเดียว  ไม่ว่าคนๆ นั้น ในชาตินี้ จะเป็นคนดี หรือคนเลวในระดับไหนก็ตาม

นี่หมายความรวมถึงสัตว์ทั้งหลายด้วย  เพราะ สัตว์นั้น ก่อนหน้านี้ก็เป็นคนทั้งนั้น แต่เมื่อทำกรรมชั่ว ก็ต้องมาชดใช้กรรม  และหมายความรวมถึง สัตว์ในนรก เทวดา รูปพรหม อรูปพรหมทั้งหมดด้วย   

ความแตกต่างก็คือ จะไปช้าหรือเร็วต่างกันเท่านั้น 

ที่ว่าไปอายตนะนิพพานก็มีอยู่  2 แบบใหญ่คือ ไปด้วยตัวของตัวเอง หรือไปด้วยคำสั่งสอนของผู้อื่น

กลุ่มที่ไปได้ด้วยตัวของตัวเองก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า  กลุ่มแรกจะสอนผู้อื่นด้วย  ส่วนกลุ่มหลังไม่สามารถสอนใครได้

พวกที่ไปนิพพานด้วยคำสอนของผู้อื่น ก็คือ พระอรหันต์ทั้งหลาย เพราะ ต้องฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถึงจะทำตามได้

การที่จะไปนิพพานได้  บารมี 30 ทัศต้องครบถ้วน  การเกิดมาแต่ละชาตินั้น ก็เพื่อมาสร้างบารมี 30 ทัศให้ครบถ้วน

พวกที่มาเกิดจำนวนมากเลย  เกิดความพลั้งพลาด ทำความชั่วตอนที่มาเกิดเพื่อสร้างบารมี  กลุ่มนี้จึงเกิดมาเพื่อใช้กรรมด้วย   บางชาติเกิดมาเพื่อใช้กรรมมากกว่าการสร้างบารมีเสียอีก

บารมี 30 ทัศมี 10 อย่าง ดังนี้
  1. ทาน การให้
  2. ศีล การรักษาศีลให้เป็นปกติ
  3. เนกขัมมะ การออกจากกาม
  4. ปัญญา ความรู้
  5. วิริยะ ความเพียร
  6. ขันติ ความอดทนอดกลั้น
  7. สัจจะ ความตั้งใจจริง เอาจริง จริงใจ
  8. อธิษฐาน ความตั้งใจมั่น ไม่เปลี่ยนแปลง
  9. เมตตา ความรักด้วยความปรานี
  10. อุเบกขา ความวางเฉย
ทั้ง 10 อย่างมี 3 ระดับคือ บารมีธรรมดา อุปบารมี และปรมัตถบารมี จึงเป็น 30 ทัศ

เขียนมาตั้งนานยังไม่ถึง “บุญ” เลย  ซึ่งจะถึงกันตรงนี้  ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า “บุญบารมี”  “บุญ” นั้น เป็นขึ้นต่ำกว่าบารมี 

เมื่อเราทำบุญจำนวน  10 ประเภทตามประเภทของบารมีนั่นแหละ  ก็จะมีดวงบุญเกิดขึ้น เมื่อดวงบุญนั้น เส้นผ่านศูนย์กลางใหญ่เท่า 1 คืบของใครของมัน

ดวงบุญดังกล่าวก็จะกลั่นเป็นดวงบารมี ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1 องคุลี  นี่คือ บารมีธรรมดา 

1 องคุลีมีความยาวขนาดไหน ก็ขอให้ดูนิ้วชี้ของใครของมัน นิ้วชี้จะมี 3 ส่วน  1 ส่วนของนิ้วชี้คือ 1 องคุลี

ดวงบารมีใหญ่ถึง  1 คืบ ก็จะกลั่นตัวเป็นดวงอุปบารมีขนาด 1 องคุลี   เมื่อดวงอุปบารมีใหญ่ถึง 1 คืบ ก็จะกลั่นตัวเป็นปรมัตถบารมีขนาด 1 องคุลี

ก็ต้องทำบารมี  10 ประเภทนั้น ให้มีดวงปรมัตถบารมีใหญ่ขนาด 1 คืบครบทั้ง 10 ประเภท จึงจะสามารถไปอายตนะนิพพานกันได้

นี่แหละเป็นเหตุผลที่ “ทำไม ถึงอยากได้บุญ” 

ที่นี้ ความรู้ที่เขียนไปดังกล่าวนั้น มันขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีด้วยว่า ใครจะเข้าถึงและรับรู้ขนาดไหน  บางคนไม่เชื่อเรื่องทำบุญเสียด้วยซ้ำ

บางคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง  บางคนก็มีความเชื่ออย่างผิดๆ

คนบางคนไปเชื่อว่า “ถ้าทำบุญแล้วอยากได้บุญ ก็เป็นกิเลส”  จึงมีคนหลายคนหลอกตัวเองไปว่า “ทำบุญไปเฉยๆ ไม่อยากได้อะไร

ผมขอยืนยันว่า การอยากได้บุญมากๆ  ไม่เป็นกิเลส  กิเลสมันเกี่ยวข้องเฉพาะการทำความเลว  การทำความดีมากๆ เพราะอยากได้บุญมากไม่เป็นกิเลส

ไม่อย่างนั้น เมื่อไหร่บารมีเราจะครบ 30 ทัศเสียที

ว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นต่อก็เนื้อที่ไม่พอเสียแล้ว ใครอยากอ่านก็ไปอ่านตามลิงก์เอาเองก็แล้วกัน.

-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น