บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

พระนิพพานเป็นเมืองแก้วใช่ไหม






เรื่องที่เกี่ยวกับนิพพานนั้น พุทธศาสนิกชนเถียงกันเป็นวรรคเป็นเวรมานานแล้ว และก็คงจะเถียงกันไปอีกจนโลกแตกนั่นแหละ

ส่วนใหญ่แล้ว ไม่มีใครรู้จริงกันทั้งนั้น

คนพวกนี้ เถียงกันไปตามความเชื่อของตนเอง คือ เชื่อว่าของกูถูก ของมึงผิด  ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว มันผิดกันทั้งคู่

ที่ถูกต้องตรงเผงก็คือ ที่หลวงพ่อวัดปากน้ำสอนไว้  แต่มันก็ยังมีพวกสมองหมา ปัญญาควายเอาความเชื่อแบบควายๆ มาเถียงได้อีก

มีคนไปตั้งกระทู้ถามว่า “พระนิพพานเป็นเมืองแก้วใช่ไหม”  ก็มีความคิดเห็นแบบสมองหมา ปัญญาควายกับประปราย 

ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กันก็ขอให้ผู้อ่านขึ้นไปอ่านพุทธพจน์เกี่ยวกับนิพพาน ซึ่งผมนำไปไว้แล้วด้านบน  เป็นนิพพานสูตร 1-3 

ในนิพพานสูตรนั้น ถ้าจะอธิบายให้ง่ายๆ ก็คือ  อายตนะนิพพานมีอยู่จริง และไม่เหมือนในภพ 3 นี้เลย

อายตนะนิพพานเป็นภพๆ หนึ่ง ที่ไม่มีอะไรเหมือนกับภพ 3 เลย  แม้กระทั่งการที่จะอยู่ในอายตนะนิพพานนั้น จะใช้คำว่า “จุติ” ก็ไม่ได้  “อุบัติ” ก็ไม่ได้

ในทางวิชาธรรมกายนั้น  มีคำ 3 คำสำหรับอธิบายคือ

1- อายตนะนิพพาน คือ ภพหรือสถานที่
2- พระนิพพาน คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระปัจเจกพุทธเจ้า
3- นิพพาน คือ คำรวมไว้เรียก อายตนะนิพพาน + พระนิพพาน

ต่อไป เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ความคิดเห็นอันยาวเหยียดแต่ก็เป็นความคิดเห็นแบบสมองหมา ปัญญาควายเหมือนเดิม 

กล่าวคือ มั่วไปหมด หาหลักมาตรฐานอะไรไม่ได้

ในตำราของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทชั้นแรกๆ ตั้งแต่ บาลี (พระไตรปิฏก), อรรถกถา, ฏีกา, อนุฏีกา หรือชั้นรองๆ ลงไปอีก  ไม่เคยกล่าวว่า นิพพานมีลักษณะเป็นเมืองแก้ว

การพูดว่า นิพพานเป็นเมืองแก้ว เป็นการพูดเปรียบเทียบเพื่อให้คนระดับรากหญ้าเข้าใจง่ายๆ  เพิ่งพูดกันไม่นานมานี้เอง 

เป็นการพูดเลียนแบบมาจากนิกายของมหายานบางนิกาย  คือ นิกายสุขาวดี  ที่กล่าวว่านิพพานมีลักษณะเหมือนเป็นเมืองสวรรค์  มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มากมายอาศัยอยู่ในเมืองนิพพานนั้น 

การอธิบายแบบนี้ ก็เพื่อเอาใจคนในระดับพื้นฐานที่ไม่มีการศึกษา ให้เข้าใจง่ายๆ มีเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม

ซึ่งการอธิบายแบบนี้ ทางพุทธนิกายเถรวาทไม่ยอมรับ  เพราะเป็นการอธิบายที่ผิดพลาดจากความจริง  ตามหลักธรรมดั้งเดิมของเถรวาท

ตรงนี้ขออธิบายตามหลักของภาษาศาสตร์ก่อน 

ภาษาที่เราใช้กันนั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์  ความหมายที่ใช้กันก็มีทั้ง “ความหมายโดยนัย” และ “ความหมายโดยตรง”  ในการเผยแพร่ศาสนานั้น เราก็ใช้ทั้งร้อยแก้ว และร้อยกรอง

การเปรียบเทียบว่า นิพพานเป็นเมืองแก้วก็เป็นลักษณะหนึ่งของการสื่อสารทางภาษา

คนที่สื่อสารออกมาต้องการเปรียบเทียบโดยใช้ “ความหมายโดยนัย” อันเป็นเรื่องธรรมดาโดยทั่วไป  ที่มันไม่ธรรมดา ก็เพราะ มีการเอามาจับผิดกันแบบสมองหมา ปัญญาควาย

ตัวอย่าง เอามาจากเว็บ Gotoknow

ความหมายโดยตรง- นักเรียนช่วยกันจัด เก้าอี้ ในห้องเรียน
ความหมายโดยนัย- ส.ส.กำลังแย่ง เก้าอี้ กัน
ความหมายโดยตรง- เราจะเห็น ดาว ชัดเจนในคืนเดือนมืด
ความหมายโดยนัย- ภราดรวดีเป็น ดาว เด่นในการประกวดเชียร์ลีดเดอร์
ความหมายโดยตรง- ผู้หญิงชอบเครื่อง เพชร
ความหมายโดยนัย- ขุนช้างขุนแผนเป็น เพชร เม็ดงามประดับวงวรรณกรรมไทย

จะเห็นว่า นิพพานเป็นเมืองแก้ว ก็เป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ความหมายโดยนัย

ก่อนที่จะไปต่อ ขอให้ดูข้อความที่ผมเน้นสีแดงไว้เป็นกรณีพิเศษคือ “ซึ่งการอธิบายแบบนี้ ทางพุทธนิกายเถรวาทไม่ยอมรับ  เพราะเป็นการอธิบายที่ผิดพลาดจากความจริง  ตามหลักธรรมดั้งเดิมของเถรวาท

ถ้าใครพูดอย่างนี้ขึ้นมา ขอให้รู้เลยว่า “คนที่ไม่ยอมรับนั้น มีคนเดียว ไม่ใช่พุทธเถรวาททั้งหมด” ข้อความทำนองนี้มีไว้โจมตีคนอื่น โดยเจตนาชั่วร้ายทั้งนั้น

แต่นิพพานตัวจริงๆ นั้น เป็นธาตุอะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่ปรุงแต่ง คงที่ ไม่ผสมกับอะไรได้ ไม่มีอะไรเข้าออกได้

อยู่ตรงศูนย์กลางของจิตของแต่ละคนหรือสัตว์แต่ละตัวในวัฏฏะสงสาร นั่นเอง 

นิพพานมีลักษณะเหมือนจิตแทบทุกๆ อย่างเหมือนฝาแฝด ต่างกันที่จิตมีการเปลี่ยนแปลงเกิดๆ ดับๆ อย่างรวดเร็วไปตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง และจิตสามารถรู้อารมณ์ต่างๆ ได้  แต่นิพพานไม่เปลี่ยนแปลง และไม่รู้อารมณ์ใดๆได้ 

เพราะจิตเป็นธาตุรู้ แต่นิพพานไม่ใช่ธาตุรู้ แต่เป็นอมตธาตุ

ตรงนี้ มั่วไปทุกสิ่งทุกอย่างแบบโคตรสมองหมา ปัญญาควายยกกำลังสอง 

อายตนะนิพพานเป็นภพๆ หนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด  พระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตมาก็อยู่ในอายตนะนิพพานนี้ทั้งหมด

พระปัจเจกพุทธเจ้าก็อยู่พระองค์เดียว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะนั่งอยู่ตรงกลาง พระอรหันต์สาวกก็นั่งเวียนขวาออกไป

อายตนะนิพพานนั้นสว่างด้วยแสงสว่างจากกายพระอรหันต์ทั้งหลายในอายตนะนิพพานนั้น

การจะเห็นนิพพานได้ ต้องฝึกจนได้วิปัสสนาญาณครบทั้ง ๑๖  เมื่อได้ถึงวิปัสสนาญาณที่ ๑๔  ได้มรรคญาณเกิดขึ้น (กับมรรคจิต)  ก็จะเห็นนิพพานตอนนั้น

ผู้นั้นก็จะบรรลุเป็นพระอริยะเจ้า  เริ่มตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป .....หมายถึงว่า  ถ้าได้อริยมรรคแรกก็เรียกว่า  โสดาปัตติมรรค ได้เป็นพระโสดาบัน  ..

ต่อจากนั้น ถ้าได้มรรคอื่นๆ สูงๆ ขึ้น  ก็จะได้วิปัสสนาญาณ ๑๖ ของแต่ละมรรคนั้นๆ  ทุกๆมรรค ทุกๆ ครั้ง  จนถึงมรรคสุดท้ายคือ อรหัตตมรรคชำระกิเลสหมดสิ้นได้เป็นพระอรหันต์

ตรงนี้ก็มั่ว  สงสัยไปอ่านของพระพม่ามา 

พระพม่ากับสาวกก็อ้างวิปัสสนาญาณไปอย่างนั้นเอง แต่พวกบ้านั้น ไม่ยอมเห็น   มันก็เหมือนเป็นการท่องปากเปล่าไปแค่นั้น

ข้อความตรงนี้ คนที่ให้ความคิดเห็นนี้จะพยายามอธิบายถึง นวโลกุตรธรรม หรือ โลกุตรธรรม 9

ในธัมมสังคณี พระอภิธรรมปิฎก ระบุว่า โลกุตรธรรม มี 9 ได้แก่ อริยมรรค 4 อริยผล 4 นิพพาน 1 โดยมีรายละเอียดดังนี้
- มรรค 4 คือ โสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหัตมรรค
- ผล 4 คือ โสดาปัตติผล สกิทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตผล
- นิพพาน

โลกุตรธรรม 9 ประการนี้ก็เหมือนกันที่ว่า ไม่มีใครหน้าไหนอธิบายได้ถูกต้องแม้แต่คนเดียว ยกเว้นหลวงพ่อวัดปากน้ำ ที่สอนไว้ตรงเผงเลย คือ

กายธรรมพระโสดาหยาบ=โสดาปัตติมรรค
กายธรรมพระโสดาละเอียด=โสดาปัตติผล
กายธรรมพระสกิทาคาหยาบ=สกิทาคามิมรรค
กายธรรมพระสกิทาคาละเอียด=สกิทาคามิผล
กายธรรมพระอนาคามีหยาบ=อนาคามิมรรค
กายธรรมพระอนาคามีละเอียด=อนาคามิผล
กายธรรมพระอรหัตหยาบ=อรหัตมรรค
กายธรรมพระอรหัตละเอียด=อรหัตผล
นิพพาน = พระนิพพาน   ในอายตนะนิพพาน

โดยสรุป

อายตนะนิพพานมีจริง พระนิพพานมีจริง วิชาธรรมกายสามารถสอนคนให้หมดกิเลสชั่วคราวขึ้นไปดูได้  การที่มีการบรรยายว่า นิพพานเป็นเมืองแก้วนั้น เป็นการใช้ภาษาแบบความหมายโดยนัย

การที่มาจับผิดกันแบบนี้ มีแต่พวกสมองหมา ปัญญาควายทั้งนั้น.


-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989



1 ความคิดเห็น:

  1. นิพพานของจริงตอ้งเห็นเองด้วยมรรคญาณ ปัญจวคีย์ก็เห็นเอง พระพุทธองศ์ทรงชี้ทางให้เท่านั้น

    ตอบลบ