บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

สติเห็นเวทนา

มีคนเข้าไปตั้งกระทู้ในห้องศาสนา พันธุ์ทิพย์ที่น่าสนใจ และควรนำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน กระทู้นั้นชื่อ “สติเห็นเวทนา

เนื้อหาของกระทู้ก็เป็นดังนี้

ดิฉันได้ฝึกสติตามเวทนามาหลายวันแล้ว โดยเฉพาะอาการยอดฮิตของนักปฏิบัติธรรม ที่มักเกิดขึ้นเวลาที่นั่งสวดมนต์หรือทำสมาธิเป็นเวลานาน นั่นคือ "เหน็บชา"

ซึ่งอาการนี้ดิฉันเจอประจำ เจอทุกวัน วันไหนไม่เจอคือเรื่องแปลก โดยเฉพาะเวลานั่งพับเพียบสวดมนต์

ปกติถ้านั่งขัดสมาธิจะนั่งนานเป็นชั่วโมงก็จะไม่รู้สึกเลยว่าปวดขาหรือชาแต่ถ้านั่งพับเพียบ เวทนาจะมาเร็วมากค่ะ ประมาณครึ่งชั่วโมง เหน็บชาจะมาล่ะ

อาจเป็นเพราะเรานั่งทับขาข้างเดียวแล้วทิ้งน้ำหนักไปที่ขาข้างนั้นหรือเปล่า มันเลยปวดและชาไวกว่านั่งขัดสมาธิ

ครั้งแรกที่ตั้งใจว่าจะตามดูอาการคือนั่งพับเพียบด้านขวาก่อน เพราะเป็นข้างที่ถนัด พอเวทนาเกิด

เราก็ใช้สติตามดู  ขาเริ่มชา...อืม....มันเริ่มปวดนะ  แล้วก็กลับมาดูจิต ดูสลับกันไปมาระหว่าง เวทนา กับ จิต

ดูกายด้วย (ถ้าเวทนามา เราจะหยุดสวดมนต์ก่อน แล้วตามดูมัน)  ปกติถ้าเกิดเหน็บชาระหว่างสวดมนต์

ดิฉันก็จะเปลี่ยนข้าง  จึงคิดว่าที่เราทำนี่มันคือการหนีทุกข์นะ ไม่ใช่วิธีมองทุกข์  ก็คิดใหม่ คราวนี้ไม่หนีแต่จะอยู่สู้กับทุกข์นั่น

พอนั่งไปนาน ๆ อาการมันเพิ่มขึ้น ปวดมากขึ้น ...ชามากขึ้น...มันร้อน..ร้อนเข้าไปจนถึงกระดูกเลย แล้วเราก็ดูจิต ดูกาย

กายมันคิดจะขยับเปลี่ยนท่า จิตก็บอก "เดี๋ยวก่อน นั่งก่อน" อันนี้คือผู้รู้ดูเองหมดนะคะ กายมันก็นั่งต่อตามจิตสั่ง

แต่อาการปวดนี่สิ มันแทบหัวใจหยุดเต้นเลยคุณเอ้ย เกิดมาเป็นเหน็บก็ไม่เคยปวดเท่านี้มาก่อน ร้อนจนกระดูกแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ

ก็นั่งดูเวทนาสลับดูจิตไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่ง ชม. จึงได้เห็น..........เห็นชัดเลยว่า.....

อาการปวด มันค่อยๆ หายไปค่ะ อาการชาก็ค่อยๆ เลือนไป แล้วมันจะรู้สึกเย็นๆ เป็นระยะๆตามขา แล้วอาการทั้งหมดก็แน่นิ่งไป

โอ...ใจมันคิด นี่แหละทุกขัง มีเกิด ย่อมมีดับ เราเห็นความดับของเวทนานั้นแล้ว (จิตมันเคยวิปัสสนา เห็นแต่เวทนาเป็นอนิจจัง กับอนัตตา  ตัวทุกขัง มันยังไม่เคยเห็นแบบจะจะ)

พอเห็นอาการชามันหาย ดิฉันก็เลยยกมือไป บีบๆ ตรงขา ปกติถ้าขาเป็นเหน็บชา จะแตะนิดเดียวยังไม่ได้เลยนะคะ

มันชาจ๊าดๆๆขึ้นทันที แต่นี่จับได้บีบได้ด้วย ไม่รู้สึกว่ามันเคยเป็นเหน็บชามาก่อนเลย แถมยังลุกเดินได้เลยอีกตะหาก

คราวนี้มาเมื่อคืนนี้ เราก็ลองนั่งพับเพียบอีกข้าง คือข้างซ้าย ซึ่งเป็นข้างที่ไม่ถนัด สวดมนต์ไปครึ่งชั่วโมง เวทนาก็มาค่ะ

ดิฉันก็ตามดูมัน เหมือนที่เคยดูมาแล้ว ปรากฏว่ามันปวดนานกว่าข้างขวาค่ะ ข้างซ้ายนี่มันหนักเอาการ

ถามว่าทรมานไหม

เราตามดูจิตนะ มันก็ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรมากมาย มันก็แค่บอกตามรู้สึก คือปวด..ชา...ปวดมาก..ร้อนมาก..ร้อนถึงกระดูกเลย

แต่ส่วนมากจิตจะนิ่ง เพราะมันเคยวิปัสสนามาแล้วว่ารูปที่เป็นธาตุ 4 ไม่ใช่ตัวมัน มันเลยไม่ค่อยสนใจเท่าไร (แยกจิต)

เกือบชั่วโมงที่เราตามดูอาการเหน็บชาของขาข้างซ้าย แล้วในที่สุด...เวทนาก็ดับเหมือนเดิมค่ะ อาการก่อนมันจะดับ

ก็เหมือนขาข้างขวา คือ ความปวด ความชา ค่อย ๆหายไป แล้วมันจะเย็น ๆ ก่อน (จากที่ร้อนจนแทบกระดูกแตกนะ)

ตอนนี้เลย เห็นแล้วว่าเวทนา หน้าตามันเป็นยังไง แยกกาย จิต เวทนา ออกจากกันเป็นยังไง รู้การเกิด ดับของมันแล้ว

เราก็ไม่จำเป็นต้องหนีทุกข์เวลานั่งสวดมนต์หรือสมาธิอีกต่อไป  โดยต่อไปนี้ เวลานั่งสวดมนต์ก็จะนั่งท่าเดิมจนกว่าจะสวดเสร็จ

ถ้าเกิดเวทนาก็ตามดูจนมันดับไป โดยผู้รู้จะตามดูด้วยความเป็นกลางอีกตามเคย


นี่คือ ผลพวงของการสอนผิดๆ ของพระพม่า ที่ทำให้สาวกเข้าใจผิดไปหมด  แทนที่จะปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ากว่านี้  ก็หยุดเพียงเท่านี้

ที่เขียนมาในกระทู้นั้น ไม่ใช่ “สติเห็นเวทนา” อย่างแน่นอน  มันเป็นแค่ว่า “นั่งจนทนความปวดได้เท่านั้น

คำว่า “เห็น” ในพระไตรปิฎก มันก็ต้อง “มีการเห็น” เกิดขึ้นจริงๆ   ไม่ใช่ทนความเจ็บปวดได้ ก็ไปนับว่าเป็นการเห็น

แล้ว “สติ” นั้น เห็นอะไรไม่ได้หรอก  “สติ” ไม่ได้มีหน้าที่สำหรับเห็นอะไร 

ขอให้ดู “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” จากพระสูตรเลย ดังนี้ 
ขอให้อ่านโดยละเอียดสักหน่อย   จากเนื้อหาของ “เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน” พอสรุปได้ดังนี้

1.  ต้องมี “พิจารณาเห็น” คำนี้มาจากภาษาบาลีคือ “อนุปัสสนา”  ที่จริงแล้วต้องแปลว่า “ตามเห็น” จะถูกมากกว่า

2) ต้องเห็นและรู้เวทนา 3 อย่างคือ “สุขเวทนา”  “ทุกขเวทนา”  “อทุกขสุขเวทนา”  ไม่ใช่ทนความเจ็บปวดได้ อย่างที่เขียนมา

3) การเห็นและรู้เวทนาทั้ง 3 อย่างนั้น ต้องเห็นของคนอื่นด้วย  ไม่ใช่ของตนเองเพียงคนเดียว

4) การเห็นต้องเห็นแบบชัดเจน เพราะ จะต้อง “รู้ชัด” ด้วย

พวกสาวกของพระพม่าพวกนี้น่าสงสารมาก  คือ  พอทำแบบนี้ได้ ท่านก็คิดว่า กิเลสท่านหมดแล้ว  กิเลสหมดไปเพราะการทำแบบนี้  คือ นั่งจนทนความเจ็บปวดได้

ความจริงแล้ว “กิเลส” มันหายไปน้อยมาก  หายไปแค่นิดเดียว  อนุสัย อาสวะ ฯลฯ ยังอยู่เต็มเพียบไปหมด

แล้วการที่กิเลสมันหายไปบ้าง มันไม่ได้เกิดจาก “การนั่งจนทนเจ็บปวดได้”  แต่มันเกิดมาก่อน จากความเชื่อมั่นในศาสนาพุทธ 


-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น