บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

โกเอ็นก้า



มีท่านผู้อ่านของให้วิพากษ์วิจารณ์ “โกเอ็นกา” ให้หน่อย ก็เลยขอวิพากษ์วิจารณ์สั้นๆ ไว้ตรงนี้ก่อน ส่วนรายละเอียด ผมจะเขียนไว้ 1 บล็อก

ท่านโกเอ็นกาเป็นสาวกพระพม่า เช่นเดียวกับสายยุบหนอพองหนอ และสายนามรูปในประเทศไทย

เว็บของโกเอ็นกาให้ความหมายของวิปัสสนาไว้ดังนี้

วิปัสสนา หมายถึง การมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง เป็นวิธีการปฏิบัติกรรมฐานที่เก่าแก่ที่สุดวิธีหนึ่งของอินเดีย ซึ่งได้สาบสูญไปจากมนุษยชาติเป็นเวลานาน 

แต่ได้รับการค้นพบอีกครั้งโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อกว่า 2,500 ปีมาแล้ว หลักสูตรการอบรมวิปัสสนาใช้เวลาทั้งสิ้น 10 วัน

ข้อความข้างบนนั้น “เป็นความจริงนิดเดียว ที่เหลือโกหก”

ข้อความนี้

“วิปัสสนา หมายถึง การมองดูสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง”

การมองดูก็คือ “เห็น” แต่พวกนี้ “ไม่เห็น” แต่ใช้วิธี “เข้าใจ” แทน

มันก็ผิดแล้ว เพราะ ถ้าจะใช้ “การเข้าใจ” (understanding) ก็อย่าไปใช้คำว่า “เห็น”  เมื่อท่านโกเอ็นกาใช้คำว่า “มองดู” ท่านก็ต้อง “เห็น”

ข้อความนี้

“แต่ได้รับการค้นพบอีกครั้งโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”

การเขียนแค่นี้ ชี้นำไปในทำนองที่ว่า “วิปัสสนาแบบโกเอ็นก้าสำคัญที่สุด” 

ในความเป็นจริงพระพุทธเจ้าค้นพบ “อริยสัจ 4” ที่สำคัญกว่าวิปัสสนา และยังมีหัวข้อธรรมะอื่นๆ อีกมากมาย

มีคนเข้าฝึกปฏิบัติธรรมแบบของท่านโกเอ็นกา แล้วมาเขียนไว้ในห้องศาสนา ของพันธุ์ทิพย์ ดังนี้

หลักการปฏิบัติ จะยึด 3 ข้อตามที่ท่านพระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

วันที่  1- วันที่  3 ฝึกอานาปานสติ คือการมีสติรู้ลมหายใจเข้าออก โดยไม่ท่องพุทโธ ยุบหนอ พองหนอ หรือคำบริกรรมใดๆ ทั้งสิ้น

ตรงนี้ ยึดหลักตามพระพม่าแท้ๆ สายยุบหนอพองหนอนั้น มหาโชดกดัดแปลงไปบ้างแล้ว

ผู้ที่กำลังจะไปฝึกสามารถฝึกตรงส่วนนี้ก่อนได้นะคะ

รู้ลมหายใจ เข้าออก รู้ว่ามันกำลังเข้า หรือกำลังออก รู้สัมผัสของเราที่กระทบส่วนต่างๆ ของจมูก  ขั้นตอนนี้จะทำให้เรามีสมาธิและมีสติที่แหลมคมมากขึ้นค่ะ

ตรงนี้ ทำให้เรามีสมาธิอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งมากขึ้น แต่ “สติจะแหลมคมมากขึ้นหรือไม่นั้น” ยังเป็นที่น่าสงสัย

เพราะ การมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา จะไปมีเวลาขบคิดเนื้อหาธรรมะอื่นๆ ได้อย่างไร

วันที่ 4 เป็นต้นไป เริ่มฝึกวิปัสสนา ตามรู้เวทนา (ความรู้สึก) ที่เกิดขึ้นกับร่างกาย

ตรงนี้ก็เป็นที่น่าสงสัยอีก เพราะ สติปัฏฐานที่แท้จริงนั้น ต้องตามเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งภายใน ภายนอก และทั้งภายในและภายนอก

คือ ต้องเห็นเวทนาของตัวเอง และของคนอื่นด้วย  สายท่านโกเอ็นกานั้น  มันก็แค่ “ทน” ความเจ็บปวดให้ได้เท่านั้น

ไม่ใช่เห็นเวททนาในเวทนาอย่างสติปัฏฐาน 4

จากวันนี้ไปจะมีชั่วโมงที่เรียกว่า "ชั่วโมงอธิษฐาน" วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ชั่วโมง โดยเราจะต้องพยายามตั้งจิตให้มั่นและอธิษฐานว่า จะไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถเลย

ขั้นตอนนี้**ไม่ใช่การมาทรมาน**ตัวเองนะคะ เพียงแต่เป็นการฝึกการวางอุเบกขา และเป็นการสร้างอธิษฐานบารมี

หากร่างกายไม่สามารถทนได้ เราสามารถเปลี่ยนท่าทางได้ค่ะ แต่พยายามเปลี่ยนให้น้อยที่สุด และให้น้อยลงเรื่อยๆ

การอธิษฐานว่า จะไม่เปลี่ยนอิริยาบถ ไม่ใช่การอธิษฐานบารมี

วันที่ 10 อาจารย์จะสอนแผ่เมตตาค่ะ

วันนี้หลัง 10 โมง การรักษาความเงียบเป็นอันสิ้นสุด กีกี้คิดว่าเหมือนกับการ Cool Down หลังจากที่เราไม่ได้พูดคุยเลยเป็นเวลา 9 วัน ก่อนที่เราจะออกไปเจอโลกข้างนอก

แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถสัมผัสตัวกันได้นะคะ

การที่ไม่พูดกับใครเลย 9 วันนั้น ผมไม่เห็นว่า มันจะเป็นการกำจัดกิเลสตัวไหน

โดยสรุป

การปฏิบัติธรรมของท่านโกเอ็นกาก็คล้ายกับการปฏิบัติธรรมของสายยุบหนอพองหนอและสายนามรูป เพราะ เป็นสาวกของพระพม่าด้วยกัน

พระพม่าคิดการปฏิบัติธรรมขึ้นมาได้แบบหนึ่ง  ก็จับยัดเข้าไปว่าเป็นสติปัฏฐาน 4 แล้วก็คุยโม้โอ้อวดว่า เป็นวิปัสสนากรรมฐาน

สามารถทำให้คนบรรลุพระอรหันต์ได้ภายใน 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ซึ่งผมยังไม่เห็นมีใคร “ใกล้เคียง” การเป็นพระอรหันต์แม้แต่คนเดียว

ขอยกตัวอย่าง ดร. สนอง วรอุไร ซึ่งเป็นศิษย์ที่โด่งดังของสายยุบหนอพองหนอเป็นอย่างมาก กลับไม่รู้ว่า “สารเลวสมีเณรคำ” เป็นคนเลว แต่ไปยกย่องว่าเป็นพระอรหันต์

ก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่า สาวกพระพม่าทั้งหมด มีความรู้ในการปฏิบัติธรรมอยู่ระดับใด



-------------------------
เขียนโดย ดร. มนัส โกมลฑา Ph.D. (สหวิทยาการ)
www.manaskomoltha.net
Facebook Fanpage: https://www.facebook.com/manas4299/
Line ID : manas4299
Youtube: https://www.youtube.com/user/mommeam4299/
โทรศัพท์ : 083-4616989



35 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2557 เวลา 16:03

    ก็คิดของท่านไปเถอะค่ะ คุณมนัส ดร. ทางปัญญา อันเป็นเพียงปัญญาทางโลกเรื่องเดียว ที่ระดับดร.อย่างท่านได้ศึกษา ท่านอาจารย์เอสเอ็โกเอ็นก้า บอกไว้แล้วว่า อย่าเชื่อใคร???จงเดินทางพิสูจน์ 7ปี 7 เดือน7วันให้ด้วยตนเอง เชื่อตัวเอง พิสูจน์ ด้วยตัวเอง คิดลบได้แรงสั่นสะเทือนอันเป็นลบ คิดบวกได้แรงสั่นสะเทือนอันเป็นบวก ดร.สนอง วรอุไร หรือใครก้แล้วแต่ อย่าหวือหวาตามตามดูจิตตนเองเท่านั้น พระพุทธองค์สอนไว้ว่า ไม่มองออกไปนอกตัว มองที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ หรืออาจารย์เอสเอ็นโกเอ็นก้าสอนเป็นเบื้องต้น เอาจิตมาวางไว้เล็กแคบบริเวณ สามเหลี่ยมเหนือริมฝีปากบน ดูลมหายใจๆๆ เข้าออกๆๆ>>>จาก ศิษย์เก่า ท่านอาจารย์เอส เอ็น โก เอ็นก้า .......ธัญภา สุวรรณลิขิต

    ตอบลบ
  2. สำหรับคุณก็คิดแบบโง่ๆ ของคุณต่อไปก็แล้วกัน

    ไม่รู้เป็นศิษย์เก่าโกเอ็นก้ามาแล้วกี่ปี่ ถ้าเกิน 7 ปี 7 เดิอน 7 วัน ก็น่าจะไปนิพพานของโกเอ็นก้าได้แล้ว

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ22 กรกฎาคม 2557 เวลา 02:39

    นายมนัส คิดแบบดับเบิ้ลโง่ของคุณไปเถอะ คุณรู้เรื่องช้างแต่ไม่รู้เรื่องมดว่ะ
    โม้ไปเถอะ เธอมันคนก้าวร้าวรุนแรง รู้ได้ไงว่าชั้นน่าจะไปนิพพาน ดูแต่คนอื่นเป็นแต่ดูไม่ถูก
    ดูตัวเองไม่เป็นหวะเธอนี่ บ้าย บาย

    ตอบลบ
  4. จะรีบไปหาหญ้ากิน หรือจะรีบไปไถนา

    ตอบลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 เวลา 09:51

    โรครักษาไม่หายกำลังเข้าแถวเรียงคิวหาเธอสารเคมีในสมองชนิดก้าวร้าวรุนแรงหยดติ๋งๆ
    ทานยารักษาโรคร้ายอยู่แน่ๆ เป็นดร.ตอนแก่วิจัยแค่มดตัวเล็กๆ ก็แบบนี้แล้ อวดรู้ไปหมด
    ด่าคนนั้นคนนี้ ครูประสาอะไรวะ

    ตอบลบ
  6. อ้าว อย่างนี้ต้องแช่ง

    การแช่งไปในอดีต

    ครั้งที่ ๑
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ ๒
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ 3
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    การแช่งในปัจจุบัน

    ครั้งที่ ๑
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ ๒
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ 3
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    การแช่งไปในอนาคต

    ครั้งที่ ๑
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ ๒
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ครั้งที่ 3
    ด้วย “บุญ บารมี รัศมี กำลัง ฤทธิ์ อำนาจ สิทธิ เฉียบขาด” ที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา ตั้งแต่อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และอนาคตชาติ

    ข้าพเจ้าขอสาปแช่งให้ ไอ้หรืออี "ไม่ระบุชื่อ24 กรกฎาคม 2557 09:51" จงเกิดความวิบัติฉิบหายวายป่วงภายใน 3 วัน 7 วัน และให้ มีความวิบัติทั้งทางโลกและทางธรรม นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ไม่มีที่สิ้นสุด

    ตอบลบ
  7. ไม่ระบุชื่อ16 สิงหาคม 2557 เวลา 04:48

    ทุถคำแช่งออกจาก คิด เขียนของตัวเอง ด้วยตัวเอง รับไปเต็มๆ กี่ครั้งๆๆๆ รับไปเต็มๆๆๆๆๆ
    ใครๆไม่รับรู้ด้วย นะโยม

    ตอบลบ
  8. ควายอย่างคุณ ก็ทำได้แค่นั้น สมองหมา ปัญญาควายจริงๆ

    ตอบลบ
  9. ขันธ์ห้าเป็นของหนักเน้อ

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ29 มกราคม 2558 เวลา 17:12

    ท่านศาสดา อัจฉริยะ นักคิด ไม่ได้จบดอ็กเตอร์ แต่ท่านสอนให้คนปฏิบัติ นั่งลง ปิดตา ปิดปาก

    ตอบลบ
  11. โกเอ็นก้าสอนผิด........... อย่างที่ผมเขียนไปข้างบน ถ้าคุณว่าโกเอ็นก้าสอนถูก คุณก็ควรไปหาหลักฐานมาโต้แย้ง ไม่ใช่มาเพ้อเจ้ออย่างนี้ มันไม่มีประโยชน์

    ตอบลบ
  12. การเดินทางไปจุดหมายที่ใดที่หนึ่ง สามารถไปได้หลายทาง หลายวิธี จะช้าหรือเร็วก็ต่างกันแต่ไม่ได้หมายความว่า จะไม่สามารถไปถึงได้ การที่บอกว่าคนนี้สอนผิด คนนั้นสอนถูก หากคุณไม่ใช่พระอริยะแล้ว ผมว่าไม่ควรแอบอ้าง

    ผมคนหนึ่งไม่ใช่ลูกศิษย์โกเอ็นก้า ไม่เคยไปปฏิบัติ แต่อ่านข้อความคุณแล้ว ผมว่าคุณมีอคติ มีทิฐิอยู่ อาจจะเนื่องจากการปฏิบัติของโกเอ็นก้าไม่ตรงจริตของคุณ

    ตัวอย่างเช่น การไม่คุย 9 วัน คุณว่าผมไม่เห็นว่าไม่เห็นกำจัดกิเลศตัวไหน หากคุณเป็นผู้ปฏิบัติโดยแท้แล้ว คุณต้องเข้าใจว่า จิตมีการปรุงแต่งตลอดเวลา และเร็วมากด้วย เร็วขนาดว่าจิตคุณปรุงแต่งเสร็จแล้ว คุณยังไม่รู้เท่าทันจิตเลยว่ามันปรุงแต่งเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นหากมีการพูดคุยเกิดขึ้น แม้แต่เพียงเล็กน้อย จิตก็จะปรุงแต่งทันที การที่ไม่คุยเลย 9 วันสำหรับผมเห็นว่ามันเป็นการลดช่องทาง ช่องทางหนึ่งที่จะช่วยให้จิตไม่ปรุงแต่ง หรือปรุงแต่งน้อยลง

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มันกำจัดกิเลศตัวไหนล่ะ โง่ไปที่อื่น อย่ามายุ่งแถวนี้

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ31 สิงหาคม 2565 เวลา 06:22

      แค่การแสดงออก ทุกคนเขาก้มองออกแล้ว ว่าคุณต่ำตมแค่ไหน ไม่ต้องมาหาข้อแย้งเรื่องธรรม ของใครหรอกครับ คุณยังแนกแยะไม่ได้เลยว่าที่คุณแสดงออกเนี่ย ดี หรือ ชั่ว ขอ ถุยใส่หน้านะครับ

      ลบ
  13. ผมพึ่งเคยเข้ามาเวปบล็อคของคุณครั้งแรก ซึ่งมาจากการ search ทางอินเตอร์เนทหาข้อความเกี่ยวกับธรรมะ หลังจากที่ได้อ่านข้อความและความเห็นต่างๆของคุณ ทำให้ผมรู้สึกเสียดาย เสียดายที่ว่าคุณเป็นคนที่คลั่งไคล้ศาสนามาก แต่กลับมีความหลงอยู่มากไม่แพ้กัน ไม่น่าเชื่อว่าคนที่คลั่งไคล้และใกล้ชิดศาสนามากขนาดนี้ กลับมีความหลงได้มากมายนัก

    ถ้าคุณไม่เชื่อ ......

    ตอนนี้คุณลองสำรวจจิตของคุณดูว่า มันสั่นขนาดไหนหลังจากที่คุณได้อ่านข้อความผม
    ถ้ามันสั่นมาก........ คุณอาจจะเดินมาผิดทางแล้ว ...... เพราะถ้าคุณได้ใกล้ชิดศาสนาและฝึกจิตอย่างสม่ำเสมอ คุณจะรับรู้ได้ว่า จิตคุณอาจจะมีการสั่นอยู่บ้าง แต่คุณจะไม่จับเอาการสั่นนั้น
    ขึ้นมา แต่คุณจะเพียงแค่รับรู้การสั่นนั้นเท่านั้น

    แต่หากจิตคุณไม่มีการสั่นใดๆ ผมก็ขออนุโมทนาด้วย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ต้องมาเสียดายเรื่องของกู เสียดายเรื่องของมึงดีกว่า

      ลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ18 มีนาคม 2558 เวลา 20:24

    Manas Komoltha ไม่รู้จักคุณเป็นการส่วนตัวหรอกนะ แต่บอกตรง เห็นข้อความที่คุณ Ment ไม่น่าเชือนะ.... คนแบบคุณมีอยู่จริง จะปฏิบัติธรรมสายไหนก็ขัดเกลาจิตใจให้สะอาดและสงบได้เหมือนกัน แต่คนแบบคุณ..... บอกไม่ถูกเลยคะ... คุณปฏิบัติธรรมสายไหนคะ่.... จะได้ไม่เข้าใกล้เลย...สยองคะ่

    ตอบลบ
  15. ไอ้เราก็นึกว่า ดร. ลองไปปฏิบัติเข้าคอร์สสิบวันมา แล้วจึงค่อยมาวิจารณ์แนวทางและการสอนของโกเอ็นก้าผ่านจากประสบการณ์ตัวเอง ที่ไหนได้ วิจารณ์คำพูด(เขียน)ของคนที่เคยไปปฏิบัติมา ต่อมาอีกที
    บางทีแก้หัวข้อ จาก "โกเอ็นก้า" เป็น "ลูกศิษย์โกเอ็นก้า" หรือ "ผู้ที่ได้ไปปฏิบัติธรรมสายโกเอ็นก้า" น่าจะดีกว่านะครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ผมสงสัยระบบคิดของคุณมาก ในความคิดของคุณการจะได้ความรู้อะไร มันต้องไปคลุกทุกอย่างเลยหรือไง

      ขอยกตัวอย่างของแพทย์ดีกว่า ถ้าเอาความคิดอย่างคุณ หมอนั้น ถ้าจะรู้จักโรคมะเร็งต้องเป็นมะเร็งด้วยตนเองเลยหรือไง

      การปฏิบัติธรรมของพระพม่านั้น ผมมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี เขียนบทความเป็นร้อยๆ บทความ อ่านมามากจนเข้าใจเป็นอย่างดี

      ผมจะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้เลยหรือไง

      ประเด็นสำคัญสำหรับคุณก็คือ ข้อเขียนของผมมันผิดตรงไหน อย่างไร มีปัญญาเขียนหรือเปล่า..

      ลบ
  16. ไม่ระบุชื่อ15 ตุลาคม 2558 เวลา 05:40

    ธรรมมะคือความดี อธรรม คือความชั่ว คิดดีย่อมน้อมนำสิ่งดีๆมาสู่ตัว
    คิดชั่ว ย่อมนำพาความทุกข์ร้วนมาหาตัว
    ผู้รุ้ธรรมและผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมไม่อวดตัวว่าเป็นผู้รู้ ผู้ปฏิบัติย่อมดึงดูดคนดีและสิ่งดีๆเข้ามาเอง
    ไม่ต้องอวดเก่งอวดอ้างว่าเป็นผู้รุ้ คิดแต่ด้านไม่ดี ย่อมเวียนว่ายกับกองกิเลสธรรมของตัวเองหาเข้าใจอะไรที่แท้จริงหาแก่นแท้อะไรไม่เจอ พวกนี้น่าสงสารที่สุด ความรู้ท่วมหัวเอามาใช้ประโยชน์ไม่ได้

    ตอบลบ
  17. ไม่ระบุชื่อ18 กรกฎาคม 2559 เวลา 06:46

    .ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวก ย่อมเป็นถ้อยคำชั่ว
    ...๗. ทุกถาสูตร
    ...[๑๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้อยคำของบุคคล ๕ จำพวกย่อมเป็นถ้อยคำชั่ว เมื่อเทียบบุคคลกับบุคคล บุคคล ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ ๑. ถ้อยคำปรารภศรัทธาเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ไม่มีศรัทธา ๑ ๒. ถ้อยคำปรารภศีลเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทุศีล ๑๓. ถ้อยคำปรารภพาหุสัจจะเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ได้สดับน้อย ๑ ๔.. ถ้อยคำปรารภจาคะเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ตระหนี่ ๑๕.. ถ้อยคำปรารภปัญญาเป็นถ้อยคำชั่วแก่ผู้ทรามปัญญา ๑ ฯ

    ตอบลบ
  18. ไม่ระบุชื่อ29 มกราคม 2560 เวลา 20:12

    ที่ตอบปัญหาพูดคุยมานี่ใช่ตัวดร.มนัสจริงๆหรือเปล่าจากการใช้คำพูดและแนวความคิดไม่น่าเชื่อว่าจะจบดอกเตอร์มา..

    ตอบลบ
  19. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  20. ไม่ระบุชื่อ28 มีนาคม 2560 เวลา 00:41

    ดิฉันไม่ใช่ดอกเตอร์และไม่ใช่ผู้ทรงความรู้ใดๆเป็นเพียงนักเรียนที่ลองฝึกวิปัสสนาดูเท่านั้น แต่อยากแบ่งปันสิ่งดีๆที่เคยได้รับจากการทดลองวิปัสสนาด้วยตัวเอง....อันดับแรก ดิฉันเข้าใจดร.มนัสนะค่ะว่าเสียความรู้สึกกับดร.สนองอุไรและสมี ซึ่งดร.สนองฝึกแนวทางแบบพม่าแบบยุบหนอพองหนอกับท่านอาจารย์โชดก เลยเป็นการยากที่ทำให้ดร.มนัสเห็นประโยชน์ของการฝึกแบบโกเอนก้าซึ่งเป็นเทคนิกแบบทางแนวทางพม่าเช่นกัน แต่ความเป็นจริงที่ดิฉันได้ค้นพบคือวิธีการปฏิบัติวิปัสสนาของคนสองกลุ่มนี้ไม่มีความเหมือนหรือเกี่ยวข้องกันเลยแม้จะฝึกแนวทางแบบพม่า ไม่ผิดหรอกค่ะที่จะตั้งข้อสงสัย เพราะพระพุทธเจ้าก็เคยบอกในกาลามสูตรอยู่แล้วว่าอย่าเชื่อเพราะฟังกันมา อย่าเชื่อเพราะเค้าเป็นครู เป็นต้น สิ่งที่ดิฉันได้เรียนรู้จากเหตุการณ์ลักษณะแบบดร.สนอง อุไร ที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยในสังคมไทย คืออย่าเชื่อและยึดในตัวบุคคล ฟังได้แล้วต้องมาวิเคาระห์เอา แม้คนที่เคยพูดธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้องแต่ภายหลัวทำเรื่องไม่ดีเพราะแพ้ภัยกิเลส ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เค้าเคยพูดจะผิดทั้งหมดแต่แน่นอนว่าไม่ถูกทั้งหมด หากอยากพบความจริงก็ต้องพิสูจน์ความจริงด้วยตนเองเท่านั้น เรื่องการฝึกวิปัสสนาใครชอบแบบไหนคงมาบังคับกันไม่ได้แต่ละคนจริตต่างกัน ขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ส่วนตัวดิฉันก็เคยฟังการบรรยายธรรมของดร.สนอง อุไรอยู่พักนึงก่อนที่จะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น แกพูดอยู่บ่อยว่าฝึกกับท่านอาจารย์โชดก เลยทำให้ดิฉันขวนขวายลองไปฝึกดูลองฝึกแบบชิมลางตามแนวทางท่านอาจารย์โชดกที่วัดมหาธาตุดูแบบวันเดียวสองครั้ง ครั้งแรกฝึกกับกลุ่มคนไทย ครั้งที่สองกับชาวต่างชาติที่วัดมหาธาตุ หลักๆก็คือฝึกให้รู้ตัวหายใจเข้าออกและวลาเคลื่อนไหวร่างกาย ก็ดีนะค่ะเพราะได้รู้คร่าวๆว่าฝึกสติรู้ลมหายใจเข้าออกและเวลาเคลื่อนไหวร่างกาย แต่ความเห็นส่วนตัวสำหรับดิฉันรู้สึกว่ามันอืดๆและช้าไปไม่ทันใจ คงเป็นเพราะเวลาที่กระขั้นไปด้วยของหลักสูตรระยะสั้น หลังจากนั้นอีกสองปีให้หลังได้มีโอกาสหยุดยาว เลยไปลองฝึกวิปัสสนาแบบแนวทางท่านโกเอนก้าหลักสูตรสิบวัน เป็นการดูแต่เวทนาอย่างเดียว ซึ่งตอนแรกดิฉันไม่ทราบว่าไปนั่งนี่ไปดูอะไรแล้วดูเวทนาคืออะไรนี่ก็ไม่ทราบ ที่รู้ๆคือดูความเป็นจริงที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้นกับลมหายใจและดูความรู้สึกตามจริงที่เกิดขึ้นตามร่างกายเท่านั้น และก่อนจบหลักสูตรก็มีการแผ่เมตตาให้ตนเองสรรพสัตว์ทั้งหลาย ภายหลังได้มีโอกาสถามอาจารย์สอนวิปัสสนาท่านหนึ่งที่ดิฉันได้ไปเรียนหลักสูตรสติปฏิฐานสี่ด้วย ท่านถึงบอกดิฉันว่าหลักสูตรท่านโกเอนก้าสิบวันนั้นเป็นการดูเวทนาอย่างเดียวเหมาะกับคนที่นิสัยเอาจริงเอาจัง ต้องฝึกหลักสูตรสิบวันสามครั้งก่อนถึงเข้าฝึกหลักสูตรสติปฏิฐานสี่ได้ สรุปจากประสบการณ์ส่วนตัวคือเทคนิของท่านโกเอนก้าเหมาะกับคนที่ไม่รู้อะไรมาก่อน มาทำการทดลอง และค้นพบด้วยตนเองเฉกเช่นแก้วที่ว่างเปล่าที่ยังมีพื้นที่ใส่น้ำได้ และได้รับน้ำนั้นด้วยตนเอง ขอให้ทุกท่านมีความสุข สงบ และหลุดพ้นจากการเป็นทาสของความโลภ โกรธ หลง ที่พันธนาการเราได้ในที่สุดนะค่ะ

    ตอบลบ
  21. เห็นกายในกายคือรู้ลมหายใจเข้าออก เห็นเวทนาในเวทนาคือรู้ลมหายใจเป็นอย่างดี เห็นจิตในจิตคือรู้จิตที่เห็นลมหายใจ เห็นธรรมในธรรมคือเห็นเกิดดับ ลองเปรียบเทียบดูครับว่าของใครถูก

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. สมองหมาปัญญาควายมาอีกแล้ว ก็คุณใช้คำว่า "เห็น" ก็ต้องเห็น คุณจะบ้าตะแบงไปถถึงไหน

      เห็นกายในกาย มันก็ต้อง "เห็น" กายหนึ่งอยู่ในอีกกายหนึ่ง มันจะไปเป็น "รู้ลมหายใจเข้าออกได้อย่างไร

      โง่แบบนี้ ประเทศถึงไม่เจริญ

      ลบ
  22. โทษทีไม่น่าเข้ามาออกความเห็นเลยนึกว่าจริงจังในการศึกษาธรรมะ

    ตอบลบ
  23. ไม่พูด9 วัน เป็นการป้องกันไม่ให้ไปผิดศีลข้อที่พูดปดและพูดเพ้อเจ้อ เป็นประโยชน์นะคะจะได้อยู่กับตัวเองอย่างเต็มที่

    ตอบลบ
  24. ไม่เชื่อใครก็ถูกแล้ว ก็ควรปฏิบัติ
    ถ้าได้ปฏิบัติก็จะเข้าใจสิ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน
    น้ำล้นถ้วย อย่างน่าสงสาร
    ที่เขียน ที่ตอบ มีแต่ความเกลียดชังคนอื่น
    ถ้าฝึกฝนฝึกปฏิบัติจริง (ไม่ว่าจะสายไหน)
    ใจที่ร้อนรน มันจะเย็นลง (เคยสัมผัสไหมคะ)

    ตอบลบ
  25. อ๋อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ

    ********* ขอเชิญเข้าอบรมวิชาธรรมกายเบื้องต้น-เบื้องสูง ณ สำนักวิปัสสนาถนอมรัตน์ รุ่นที่ 3
    ********* ขอเชิญปฏิบัติธรรมเพื่อ "เสริมดวง-สะเดาะเคราะห์-ต่ออายุ" โดยมูลนิธิศึกษาการุณย์ ณ บริเวณอุโบสถวัดปากน้ำภาษีเจริญ

    55555555555555555555555555555555555555

    ตอบลบ
  26. การแช่งมันเข้าตัวเองนะคุณ ดร. อันตรายมากๆ เชื่อดิ
    เคยเห็นตัวอย่างมากหลายคนแล้ว

    ตอบลบ
  27. ไม่ระบุชื่อ12 กรกฎาคม 2561 เวลา 06:57

    ถ้าเป็น ธรรมกาย มึงจะบอก ถูกต้อง น๊ะจ๊ะ ไอ้ควายยยย

    ตอบลบ
  28. ไม่ระบุชื่อ18 มกราคม 2566 เวลา 21:27

    DR.หรือDog..กันแน่..ใช้วาจายังกับคนไม่มีการศึกษา...น่าสมเพชนะครับ..คนเราถกกันหรือออกความเห็น,ต้องใช้คำพูดอบบนี้หรือ?เป็นด๊อกเตอร์จบสูงแต่วาจากลับต่ำตมเหมือนปากแช่ในน้ำคร่ำ....น่าเศร้าใจ

    ตอบลบ